ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscle Weakness)
“กล้ามเนื้ออ่อนแรง” เป็น อาการ ไม่ใช่โรค ความท้าทายคือแยก true weakness ออกจาก fatigue และชี้ตำแหน่งพยาธิสภาพ (upper motor neuron, lower motor neuron, neuromuscular junction, muscle, systemic) อย่างเป็นระบบ เพื่อกำหนดการตรวจเพิ่มเติมและการรักษาที่เหมาะสม
1) นิยามและการจำแนก
นิยาม
ภาวะที่กำลังกล้ามเนื้อลดลง ต้องออกแรงมากขึ้นในการเคลื่อนไหว อาจเกิดเฉพาะมัด/เฉพาะกลุ่ม/ทั้งร่างกาย ต้องแยกจากอาการล้า (fatigue) ที่กำลังกล้ามเนื้อยังปกติ
การจำแนกเบื้องต้นในคลินิก
- ระยะเวลา: เฉียบพลัน (ชั่วโมง–วัน) vs ค่อยเป็นค่อยไป (สัปดาห์–เดือน)
- การกระจายตัว: โฟกัส/อสมมาตร vs สมมาตร ใกล้ลำตัว (proximal) vs ปลายแขนขา (distal)
- ปัจจัยกระตุ้น: แย่ลงเมื่อใช้งานซ้ำ (suggest MG) ดีขึ้นหลังพัก
- อาการร่วม: ชา/ปวด/หนังตาตก/กลืนลำบาก/พูดไม่ชัด/หายใจเหนื่อย/อัตโนมัติผิดปกติ
2) สาเหตุสำคัญ (Differential Diagnosis)
ระบบประสาทส่วนกลางและทางเดินพีระมิด
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (MS)
- บาดเจ็บไขสันหลัง/กดทับไขสันหลัง
ระบบประสาทสั่งการส่วนปลาย/เส้นประสาท
- ALS (motor neuron disease)
- Peripheral neuropathy (เบาหวาน/พิษ/ขาดวิตามินบี)
- Guillain–Barré syndrome (GBS)
รอยต่อประสาท–กล้ามเนื้อ (Neuromuscular junction)
- Myasthenia gravis (MG)
- Botulism/ยาคล้ายโบทูลินัม/ยาคลายกล้ามเนื้อบางชนิด
ตัวกล้ามเนื้อ (Myopathy)
- Inflammatory myositis (dermato-/polymyositis)
- Endocrine myopathy (Cushing/thyroid)
- Muscular dystrophy / metabolic myopathy
- Rhabdomyolysis
ระบบกายทั่วไป/เมตาบอลิก/ยา–สารพิษ
- Electrolyte imbalance (K+, Ca2+, Mg2+)
- Thyroid disorders, severe anemia, sepsis
- ยากลุ่มสแตติน สเตียรอยด์ ระงับภูมิ/เคมีบำบัด สารกำจัดแมลง (organophosphate)
3) การประเมินและวินิจฉัยอย่างเป็นระบบ
3.1 ซักประวัติและตรวจร่างกายประสาท
- ลักษณะอ่อนแรง: proximal vs distal, symmetric vs asymmetric, bulbar/ocular/respiratory involvement
- Motor power grading (MRC 0–5), reflex, tone, sensory, cranial nerves, gait
- สัญญาณชีพ/ภาวะหายใจล้มเหลว/กลืนลำบาก (risk aspiration)
3.2 ห้องปฏิบัติการพื้นฐาน
- CBC, electrolytes (K, Ca, Mg), renal/liver, TSH/FT4
- CK/AST/ALT (myonecrosis), วิตามินบี12/โฟเลตตามดุลยพินิจ
- Autoantibodies เฉพาะกรณี (anti-AChR/anti-MuSK, myositis panel)
3.3 การตรวจไฟฟ้าวินิจฉัย
- EMG/NCS: แยก neurogenic vs myopathic pattern
- Repetitive nerve stimulation / single-fiber EMG (สงสัย MG)
3.4 การถ่ายภาพ
- MRI/CT brain–spine: stroke, demyelination, compressive lesion
- USG muscle (myositis/rhabdo ในบริบทเฉพาะ)
3.5 ชิ้นเนื้อ/อื่น ๆ
- Muscle/nerve biopsy เมื่อสงสัย myositis/dystrophy/vasculitis
- Spirometry/VC/NIF ถ้าสงสัยกล้ามเนื้อหายใจอ่อนแรง
4) บทบาทของเครื่องวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกาย (Body Composition Analyzer: BIA/DXA)
สิ่งที่เครื่องช่วยได้ในเวชปฏิบัติ
- ประเมินภาวะกล้ามเนื้อฝ่อเชิงปริมาณ: SMM/ALM ช่วยติดตามความรุนแรงของ atrophy โดยเฉพาะโรคกล้ามเนื้อเรื้อรัง/หลัง stroke/หลังพักเตียง
- แยกน้ำหนักคงที่แต่กล้ามเนื้อลด: แยก fat mass, lean mass, TBW/ECW → ตรวจพบ “sarcopenic obesity” ได้เร็วกว่า BMI
- วางแผนและติดตามการฟื้นฟู: ใช้ค่า SMM/segmental lean ติดตามผลกายภาพบำบัด โภชนบำบัด เวย์โปรตีน/Leucine/ครีเอทีน ภายใต้ข้อบ่งชี้
- ตัวชี้วัดคุณภาพเซลล์: Phase Angle (PA) เป็น marker คร่าว ๆ ของภาวะโภชนาการและความสมบูรณ์เยื่อหุ้มเซลล์
ข้อจำกัดและข้อควรระวัง
- ผล BIA แปรผันจากภาวะน้ำ (ECW↑), ไต/หัวใจล้มเหลว, เวลา/ท่าทางการวัด
- ไม่ใช่เครื่องมือวินิจฉัยสาเหตุของ weakness โดยตรง ต้องตีความร่วมกับคลินิก/EMG/NCS/ภาพถ่าย
- DXA ให้ความแม่นยำสูงกว่าในการวัด lean/fat mass แต่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร
5) แนวทางการรักษาเชิงสาเหตุและการฟื้นฟู
การรักษาสาเหตุ (Etiology-directed)
- Stroke/compression: reperfusion/ผ่าตัด/ควบคุมความดัน/secondary prevention
- Inflammatory myopathy: glucocorticoid + steroid-sparing agent/IVIG ตามข้อบ่งชี้
- MG: AChE inhibitor, steroid/IMT, IVIG/PLEX ในภาวะรุนแรง, ประเมิน thymectomy
- GBS: IVIG หรือ PLEX; เฝ้าระวังการหายใจ
- Endocrine/electrolyte: แก้ไขฮอร์โมน/เกลือแร่
- ยา–สารพิษ: หยุดยาที่เป็นสาเหตุ/ล้างพิษตามข้อบ่งชี้
การดูแลประคับประคองและฟื้นฟู (Supportive & Rehab)
- กายภาพบำบัดแบบ progressive resistance + balance/gait
- โภชนบำบัด: โปรตีนเพียงพอ (ปรับตามโรคร่วม), วิตามิน–เกลือแร่ที่ขาด
- อุปกรณ์ช่วย (AFO/ไม้เท้า) ป้องกันหกล้ม สอนพลังสงวน (energy conservation)
- ติดตามด้วย BIA/DXA: เป้าหมายเพิ่ม SMM/ลด ECW/TBW ผิดปกติ
6) Red Flags ที่ต้องส่งต่อ/ฉุกเฉิน
สัญญาณอันตราย
- อ่อนแรงเฉียบพลันร่วมกับพูดไม่ชัด/ใบหน้าเบี้ยว/ชาหนัก (สงสัย stroke)
- อ่อนแรงลุกลามเร็ว + หายใจตื้น/VC ต่ำ (GBS/MG crisis)
- hyperkalemia/hypokalemia/hypocalcemia รุนแรง
- ปวดกล้ามรุนแรง + CK สูงมาก/ปัสสาวะสีเข้ม (rhabdomyolysis)
ภาคผนวก: เคล็ดลัดการแยกตำแหน่งพยาธิสภาพ
- Proximal > Distal, symmetric, ไม่มีชาหนัก: นึกถึง myopathy/endocrine
- Ocular/bulbar involvement แย่ลงเมื่อใช้งาน: นึกถึง MG
- Distal > Proximal + ชา/แสบร้อน: นึกถึง peripheral neuropathy
- Pyramidal signs (spasticity, hyperreflexia, Babinski+): central/UMN
- LMN signs (atrophy, fasciculation, hyporeflexia): motor neuron/peripheral
วิธีการสร้างกล้ามเนื้อ (How to Build Muscle)
การสร้างกล้ามเนื้อ (Hypertrophy) คือกระบวนการที่ใยกล้ามเนื้อได้รับแรงกระตุ้นจนเกิด micro-tears และร่างกายซ่อมแซมให้หนาขึ้น แข็งแรงขึ้น ปัจจัยหลักมีสามเสา: การฝึกแรงต้าน (Resistance Training) + โภชนาการเพียงพอ + การฟื้นตัว/พักผ่อนที่มีคุณภาพ ทั้งสามต้องเดินไปพร้อมกันจึงเห็นผลชัด
1) หลักการพื้นฐานของ Hypertrophy
Progressive Overload
เพิ่ม “ความท้าทาย” ต่อเนื่องเมื่อร่างกายเริ่มคุ้นชิน อาจเพิ่มน้ำหนัก (load) จำนวนครั้ง (reps) จำนวนเซต (sets) เพิ่มช่วงทำงาน (time under tension) หรือลดเวลาพัก เพื่อกระตุ้นการปรับตัวของกล้ามเนื้อ
Specificity & Consistency
ฝึกตามเป้าหมายและท่าที่เลือกอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 8–12 สัปดาห์ จึงประเมินผลรอบใหญ่ (mesocycle)
Balance
จัดโปรแกรมให้ครอบคลุมกล้ามเนื้อมัดใหญ่ (อก หลัง ขา) และกล้ามเนื้อช่วย (ไหล่ แขน ลำตัว) เพื่อลดความเสี่ยงบาดเจ็บและสร้างฐานกำลังที่มั่นคง
2) การออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Resistance Training)
โซนจำนวนครั้งสำหรับ Hypertrophy
ช่วง 6–15 ครั้ง/เซต ให้ความสมดุลระหว่างแรงต้านและปริมาณงาน (volume) เหมาะกับการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ โดยรวมงานต่อสัปดาห์ (weekly volume) ต่อมัดกล้ามเนื้อราว 10–20 เซต/สัปดาห์ (ปรับตามระดับประสบการณ์)
รูปแบบการฝึก
- Weight Training: ดัมเบล บาร์เบล เครื่องแรงต้าน เหมาะกับการไล่โหลดและวัดความก้าวหน้า
- Bodyweight: วิดพื้น สควอท โหนบาร์ แพลงก์ เหมาะกับผู้เริ่ม/ฝึกที่บ้าน ปรับความยากด้วยมุม/คันโยก
- Resistance Bands: ยางยืดเพิ่มแรงต้านในช่วงปลาย (ascending resistance) ใช้เสริมท่าหลักหรือฝึกแกนกลาง
คำแนะนำเชิงปฏิบัติ
- ฝึกมัดใหญ่ (อก หลัง ขา) อย่างน้อย 2–3 ครั้ง/สัปดาห์
- โครงสร้างคลาสสิก: 3–5 ท่าต่อเซสชัน ท่าละ 3–4 เซต, 6–12 ครั้ง, พัก 60–120 วินาที
- ให้ความสำคัญกับเทคนิค (form) ก่อนเพิ่มน้ำหนัก ลดเสี่ยงบาดเจ็บ
ตัวอย่างโปรแกรม 3 วัน/สัปดาห์ (Upper/Lower/Full)
- Day 1 — Upper: Bench Press, Row, Overhead Press, Lat Pulldown, Dumbbell Curl, Triceps Pressdown
- Day 2 — Lower: Back Squat, Romanian Deadlift, Leg Press, Calf Raise, Core (Plank/Dead Bug)
- Day 3 — Full: Deadlift หรือ Trap Bar Deadlift, Incline DB Press, Chest-Supported Row, Split Squat, Face Pull
3) โภชนาการสำหรับการสร้างกล้ามเนื้อ
โปรตีน (Protein)
เป้าหมายทั่วไป 1.6–2.2 กรัม/กก. น้ำหนักตัว/วัน แบ่ง 3–5 มื้อ มื้อละ ~0.3–0.5 กรัม/กก. ใส่กรดอะมิโนจำเป็นเพียงพอ (โดยเฉพาะ Leucine ~2–3 กรัม/มื้อ) เพื่อเปิดสวิทช์สังเคราะห์โปรตีน
คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate)
เป็นเชื้อเพลิงของการฝึก ถ้าต่ำเกินไปร่างกายอาจดึงโปรตีนไปใช้เป็นพลังงาน เลือกคาร์บเชิงซ้อน (ข้าวกล้อง ธัญพืช มันเทศ ผลไม้) ปรับตามปริมาณงานฝึก
ไขมันดี (Healthy Fats)
จำเป็นต่อฮอร์โมนและเยื่อหุ้มเซลล์ แหล่งดี: ปลาไขมัน อะโวคาโด ถั่ว น้ำมันมะกอก โดยทั่วไป 20–35% ของพลังงานรวม/วัน
เวลาและการกระจายมื้อ
เน้นโปรตีนหลังฝึก 1–2 ชั่วโมง และก่อนนอนอาจใช้โปรตีนย่อยช้า (เช่น เคซีน) เพื่อคงการสังเคราะห์โปรตีนระหว่างหลับ
4) แหล่งโปรตีนคุณภาพ
จากสัตว์ (Complete Protein)
- อกไก่ ไขมันต่ำ โปรตีนสูง
- ปลาทะเล (แซลมอน ทูน่า ซาร์ดีน) ได้ทั้งโปรตีนและโอเมก้า-3
- เนื้อวัว/หมูส่วนลีน
- ไข่ไก่: โปรตีนครบถ้วน ไมโครนิวเทรียนต์หลากหลาย
ผลิตภัณฑ์นม
- กรีกโยเกิร์ต: โปรตีนสูง มีโปรไบโอติก
- นม และคอทเทจชีส: เคซีนย่อยช้า เหมาะก่อนนอน
- เวย์โปรตีน: ดูดซึมเร็ว สะดวกหลังฝึก
จากพืช
- ถั่วเลนทิล ถั่วลูกไก่ ถั่วเหลือง (เต้าหู้ เทมเป้ นมถั่วเหลือง)
- ควินัว (มีกรดอะมิโนจำเป็นครบ) และถั่วเปลือกแข็ง
- โปรตีนเกษตร (TVP) ใช้ทดแทนเนื้อในเมนูได้
5) การพักผ่อนและการฟื้นตัว
การนอนหลับ
นอน 7–9 ชั่วโมง/คืน สนับสนุนการหลั่ง Growth Hormone และการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
วันพัก (Rest Days)
หลีกเลี่ยงการฝึกมัดเดิมติดกัน ควรเว้นอย่างน้อย ~48 ชั่วโมงก่อนฝึกซ้ำ เพื่อลด overuse และเพิ่มคุณภาพการฟื้นตัว
การจัดความเครียดรวม (Total Stress Load)
บริหารความเครียด ช่วงฝึกหนักควรลดกิจกรรมที่เพิ่มความล้า ปรับโภชนาการ-น้ำ และการเคลื่อนไหวเบา ๆ (active recovery)
6) การติดตามผลด้วยตัวชี้วัดที่เชื่อถือได้
ตัวเลขพื้นฐาน
- รอบอก รอบแขน รอบขา รอบสะโพก/ต้นขา (เทปวัด)
- แรงยก 1RM/5RM ในท่าหลัก (เช่น Squat, Bench, Deadlift)
- ภาพถ่ายมุมเดิม แสงเดิม ทุก 4–8 สัปดาห์
องค์ประกอบร่างกาย (Body Composition)
- ใช้เครื่องวิเคราะห์องค์ประกอบ (BIA/DXA) เพื่อติดตาม กล้ามเนื้อโครงร่าง (SMM), ไขมัน, และภาวะน้ำ (เช่น ECW/TBW)
- ตีความร่วมกับผลการฝึกและโภชนาการ: น้ำหนักเท่าเดิมแต่ SMM เพิ่ม → ถือว่าดี
7) ข้อควรระวังและการปรับใช้แบบเฉพาะบุคคล
ลดความเสี่ยงบาดเจ็บ
- วอร์มอัพเฉพาะมัด (specific warm-up) ก่อนยกหนักทุกครั้ง
- หลีกเลี่ยง ego lifting รักษาฟอร์มเป็นหลัก
- เพิ่มโหลดไม่เกิน ~2.5–10% ต่อสัปดาห์ตามท่าและประสบการณ์
ภาวะโรคร่วม
- โรคหัวใจ/ความดัน/เบาหวาน/ไต ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับโปรแกรมและโภชนาการ (เช่น โปรตีนใน CKD ต้องปรับตาม eGFR และคำแนะนำผู้ดูแล)
- ประวัติอาการปวดหลัง/เข่า เลือกท่าและช่วงการเคลื่อนไหวที่เหมาะสม ใช้อุปกรณ์พยุงตามข้อบ่งชี้
8) ความผิดพลาดที่พบบ่อย
ตัวอย่างที่ควรหลีกเลี่ยง
- ฝึกหนักแต่กินไม่ถึง (โปรตีน–พลังงานไม่พอ)
- เปลี่ยนท่าทุกสัปดาห์จนติดตามความก้าวหน้าไม่ได้
- นอนน้อย/พักไม่พอ ทำให้ไม่เกิดซูเปอร์คอมเพนเซชัน
- ชั่งน้ำหนักอย่างเดียว โดยไม่ประเมิน SMM/รอบส่วน/แรงยก
9) ตัวอย่างเมนูและการคำนวณโปรตีนอย่างง่าย
คำนวณโปรตีน
น้ำหนักตัว 70 กก. เป้าหมาย 1.8 กรัม/กก. → โปรตีน ~126 กรัม/วัน แบ่ง 4 มื้อ ~30–35 กรัม/มื้อ
ตัวอย่างการกระจายมื้อ
- มื้อเช้า: ไข่ 2 ฟอง + กรีกโยเกิร์ต + ข้าวโอ๊ต + ผลไม้
- มื้อกลางวัน: อกไก่ย่าง/เต้าหู้ + ข้าวกล้อง + สลัดผัก + น้ำมันมะกอก
- หลังฝึก: เวย์โปรตีน 1 สกูป + กล้วย 1 ผล
- มื้อเย็น: ปลาแซลมอน/เทมเป้ + มันเทศ + ผักหลากสี
- ก่อนนอน (ถ้าต้องการ): คอทเทจชีส/นม/นมถั่วเหลืองเสริมโปรตีน
สรุป
สร้างกล้ามเนื้อให้ได้ผล = ฝึกอย่างมีระบบ + กินให้ถึง + พักให้พอ
โครงสร้างโปรแกรมที่ดี เน้น progressive overload ผสานโปรตีน 1.6–2.2 กรัม/กก./วัน คาร์บเชิงซ้อน ไขมันดี และการนอน 7–9 ชั่วโมง พร้อมติดตามผลด้วยตัวชี้วัดที่เชื่อถือได้ (แรงยก, รอบส่วน, SMM จาก BIA/DXA) จะช่วยให้ได้มวลกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างปลอดภัย ยั่งยืน และสอดคล้องกับเป้าหมายสุขภาพระยะยาว
อัปเกรดโรงพยาบาลของคุณด้วยนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ล่าสุด
เพิ่มคุณภาพการรักษา ยกระดับความปลอดภัย และสร้างอนาคตสุขภาพที่ยั่งยืน