การฉายแสง LED (Light-Emitting Diode)
คือ เทคโนโลยีที่ช่วยดูแลผิวพรรณ โดยใช้ความเข้มแสงสูงมากพอในระดับ จูลล์/ตารางเซนติเมตร และจะต้องมีค่าความสว่าง (Milicandela Rating) ในอัตราที่สูง จึงจะสามารถทำปฏิกิริยากับเซลล์ผิว ช่วยกระตุ้นกลไกการฟื้นฟูของเซลล์ผิวได้ โดยแสงที่ใช้รักษาจะมีหลายสี ซึ่งแสงแต่ละสีจะมีคุณสมบัติแตกต่างกัน เพื่อบำบัดผิว แก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกันออกไป
แสง LED มีกี่สี แต่ละสีมีคุณสมบัติต่างกันอย่างไร?
การฉายแสง LED ที่นิยมใช้กันมีอยู่ 4 สี ประกอบด้วย สีฟ้า สีแดง สีเขียว และสีเหลือง โดยในการบำบัดผิวด้วยการฉายแสง LED จะฉายแสง LED เพียงสีเดียว หรือ 2 สีก็ได้ ซึ่งแพทย์จะประเมินจากปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคลก่อน
สี | แสงความยาวคลื่น | คุณสมบัติ |
แสงสีฟ้า (Blue light) | 470 นาโนเมตร | ฆ่าเชื้อสิว P.Acne ลดการอักเสบ |
แสงสีเขียว (Green light) | 525 นาโนเมตร | รักษาอาการแพ้ต่างๆ ลดการทำงานของเม็ดสีผิว |
แสงสีเหลือง (Yellow light) | 590 นาโนเมตร | กระตุ้นระบบไหลเวียนน้ำเหลือง ลดการทำงานของเม็ดสีผิว |
แสงสีแดง (Red light) | 640 นาโนเมตร | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ |
แสงสีฟ้า (Blue light)
แสงสีฟ้า มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาสิวและลดการอักเสบ ทั้งสิวอักเสบ สิวที่เกิดจากสารสเตียรอยด์ สิวจากอาการแพ้ต่างๆ โดยจะเข้าไปทำการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ที่เรียกว่า P.Acne (Propionibacterium acnes) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ทำให้ลดโอกาสการเกิดสิวใหม่ อีกทั้งยังสามารถช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้รูขุมขนผลิตน้ำมันน้อยลง จึงลดความมันบนใบหน้า ซึ่งเป็นที่มาของการเกิดสิวอุดตันได้
- เหมาะกับคนที่มีสิวอักเสบจำนวนมาก และไม่ต้องการใช้ยาแบบรับประทาน หรือคนที่สิวหายยากจากการดื้อยา
แสงสีเขียว (Green light)
แสงสีเขียว มีคุณสมบัติในการรักษารอยดำ ช่วยลดการสร้างเม็ดสี ปรับสีผิวให้กระจ่างใส เช่นเดียวกับแสงสีเหลือง แต่จะนิยมใช้ลดรอยดำมากกว่า ทั้งยังช่วยรักษาอาการแพ้ต่างๆ ได้ด้วย
- เหมาะกับคนที่มีปัญหารอยดำ รอยแดง รอยแผลเป็น ผิวหมองคล้ำ
แสงสีเหลือง (Yellow light)
แสงสีเหลือง มีคุณสมบัติในการลดเลือนฝ้า กระ ลดการสร้างเม็ดสี ช่วยปรับผิวให้ดูกระจ่างใส รักษาเส้นเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนัง และช่วยกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองและระบบไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น
- เหมาะกับคนที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ
แสงสีแดง (Red light)
แสงสีแดง มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นเซลล์ จึงช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ บนใบหน้า ปรับผิวให้เรียบเนียน อิ่มฟู และลดการอักเสบของผิว แพทย์อาจแนะนำให้ฉายแสง LED สีฟ้าที่ช่วยรักษาสิวร่วมด้วย ในเคสที่มีการกดสิว โดยแสง LED สีแดงจะช่วยทำให้ผิวบริเวณที่มีการกดสิวแข็งแรงขึ้น และไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
- เหมาะกับคนต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ ผิวแข็งแรง ลดปัญหาสิวเกิดใหม่
รักษาผิวด้วยแสง LED ต่างจากรักษาด้วยเลเซอร์อย่างไร?
การรักษาผิวด้วยแสง LED และเลเซอร์มีความแตกต่างกัน โดยการฉายแสง LED เปรียบได้กับเลเซอร์ความเข้มข้นต่ำ มีความปลอดภัย ไม่มีอาการแสบร้อนหรืออาการปวด ไม่ทําให้ผิวไหม้ หรือผิวบาง
ขณะที่การทำเลเซอร์ผิวหนังจะใช้คลื่นแสงที่มีพลังงานเข้มข้นสูง มีจุดโฟกัสที่แม่นยำ ซึ่งปัจจุบันการทำเลเซอร์ผิวมีหลากหลายรูปแบบ เหมาะกับการนำมาใช้แก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกันออกไป เช่น ปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น ลดรอยดำ ริ้วรอยบนใบหน้า รักษาสิวอุดตัน สิวอักเสบ หลุมสิว โดยจำนวนครั้ง ความถี่ และผลของการรักษาจะแตกต่างกันไปตามปัญหาผิวของแต่ละบุคคล
เนื่องจากใช้พลังงานความเข้มข้นสูง จึงอาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น แสบร้อนผิว ปวดบวม รอยแดง ระคายเคือง หรือผิวลอก ผิวไวต่อแดดมากกว่าปกติ ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถหายได้เองแต่ต้องใช้เวลา ขึ้นอยู่กับระดับความลึกของเลเซอร์ที่ยิงเข้าไป และการดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์
ทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
ผลการรักษาขึ้นอยู่กับระยะเวลา และความสม่ำเสมอในการรักษา ควรทำต่อเนื่องกัน 4-8 สัปดาห์ขึ้นไป แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาจากปัญหาผิวและสภาพผิวของที่เป็นอยู่ของแต่ละบุคคล โดยส่วนใหญ่แล้วจะเห็นผลเมื่อรับการรักษาต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ครั้งขึ้นไป เช่น ในกรณีสิวอักเสบ พบว่าสิวอักเสบค่อยๆ ยุบตัวลง ใบหน้ามีความมันน้อยลง รอยสิวดูจางลง
การเตรียมตัวก่อนและหลังเข้ารับการฉายแสง LED
ก่อนเข้ารับการฉายแสง LED
3 วัน ก่อนรับบริการ
- งดทายาที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว เช่น Tretinoin (Retin-A) Retinols Retinoids Glycolic Acid หรือครีมในกลุ่ม Anti-Aging
- งดแวกซ์ผิว ขัดผิว สครับผิว นวดหน้า โกนขน ดึงขน เลเซอร์ บริเวณที่จะทำอย่างน้อย
24 ชั่วโมง ก่อนรับบริการ
- งดดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
- งดกิจกรรมที่ส่งผลให้เลือดสูบฉีดไหลเวียนมากขึ้น เช่น การออกกำลังกาย ซาวน่า
หากมีโรคประจำตัว ยาที่รับประทานประจำ หรือแพ้ยา ควรแจ้งแพทย์ก่อนรับบริการบำบัดผิวด้วยการฉายแสง LED
หลังเข้ารับการฉายแสง LED
- หลีกเลี่ยงแสงแดด และทาครีมกันแดดเป็นประจำ
- งดอาบแดด ซาวน่า ถูกแสงแดดหรือความร้อนจัด
- ใช้โฟมล้างหน้าหรือคลีนซิ่งที่อ่อนโยนต่อผิว
- ไม่ควรล้างหน้าโดยการถูแรงๆ เพื่อป้องกันผิวเกิดการระคายเคือง
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์
- งดใช้ครีมมีส่วนผสมของวิตามินเอ วิตามินซี หรือครีมกลุ่ม AHA
การฉายแสง LED บำบัดผิว ด้วยแสงสีต่าง ๆ เช่น แสงสีฟ้า แสงสีเขียว แสงสีเหลือง และแสงสีแดง มีคุณสมบัติเด่นในการแก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน เช่น ปัญหาสิว รอยดำ รอยแดง รอยแผลเป็น ผิวหมองคล้ำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ รวมทั้งกระตุ้นคอลลาเจน ลดริ้วรอย ฟื้นฟูผิวดูอ่อนเยาว์ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิว เห็นผลผลชัดเจนตามระยะเวลา ความสม่ำเสมอในการทำ และการดูแลตัวเองหลังทำ
อย่าปล่อยให้คู่แข่งนำหน้า!
อัปเดตเทรนด์ และ Protocols
นวัตกรรมมือแพทย์ล่าสุดก่อนใครที่นี่!!